top of page
อนาคตภูมิรัฐศาสตร์
บนความขัดแย้งครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์โลก
อนาคตภูมิรัฐศาสตร์
บนความขัดแย้งครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์โลก

อนาคตภูมิรัฐศาสตร์

บนความขัดแย้งครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์โลก


5 คำถามสำคัญกับ

ศ. คีชอร์ มาห์บูบานี่ World Authority ด้าน Geopolitics

ในงาน Thailand Competitiveness Conference 2023

 

 

ปัจจุบันเรากำลังเผชิญกับการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ นั่นคือประเด็นความขัดแย้งและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

 

อะไรคือเงื่อนไขที่ผลักดันการต่อสู้นี้คงอยู่และดำเนินต่อไป

มีกฎเหล็กในข้อเท็จจริงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ดำเนินมากว่า 2 พันปีว่า เมื่อมีคู่ท้าชิงบัลลังก์เกิดขึ้น ประเทศมหาอำนาจเดิมจะทำทุกทางเพื่อหยุดยั้งเปลี่ยนแปลงผู้มาใหม่ แน่นอนว่าสหรัฐฯ ก็ทำตามธรรมเนียมอายุ 2 พันปีนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งแซงหน้าขึ้นเป็นอันดับ 1 แทนได้ หากขัดขวางไม่สำเร็จและจีนกลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก อำนาจและอิทธิพลของสหรัฐฯ ในโลกจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จะมีผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กับประเทศต่าง ๆ ในโลกอย่างมาก

 

ความผิดพลาดที่ทำให้การต่อสู้นี้ยากยิ่งขึ้น

มี 2-3 ปัจจัยที่ตนอยากพูดที่ทำให้การต่อสู้นี้ยากยิ่งขึ้น ปัจจัยแรกสำคัญมากและถูกฝังลึกในจินตนาการของชาวตะวันตกมากว่า 800 ปี นั่นคือความกลัวสิ่งที่ชาวตะวันตกเรียกว่า “ภัยเหลือง” เมื่อ 140 ปีก่อนรัฐสภาสหรัฐฯ ออกกฎหมายกีดกันชาวจีน (Chinese Exclusion Act) ระบุว่าไม่อยากให้มีคนจีนในสหรัฐฯ “ภัยเหลือง” เป็นเรื่องจริงและมีมิติทางอารมณ์ด้วย และในขณะเดียวกันการต่อสู้ก็เลวร้ายลงด้วยมิติทางอุดมการณ์ บ่อยครั้งหากถามชาวอเมริกันว่าทำไมถึงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนก็จะได้รับคำตอบว่าไม่ได้เกลียดประเทศจีน แต่ปัญหาของจีนคือมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เหตุผลนี้เป็นเหตุผลสำคัญเพราะทำให้ประชาชนสหรัฐฯ สนับสนุนท่าทีต่อต้านจีน แต่ตนจะบอกว่าต่อให้จีนไม่ได้ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ปกครองโดยมหาตมะคานธีซึ่งรักสันติภาพ หากจีนแข็งแกร่งขึ้นมาสหรัฐฯ ก็จะกดลงไปอยู่ดี นี่คือกฎเหล็กของภูมิรัฐศาสตร์ จึงต้องสนใจที่สิ่งสำคัญและอย่าให้เรื่องภาพลักษณ์มาทำให้ไขว้เขวได้

ความผิดพลาดร้ายแรงหนึ่งของจีนคือการห่างเหินกับชุมชนธุรกิจอเมริกัน เพราะเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ยุค 1990 หาก ปธน.สหรัฐฯ คนใดอยากทำอะไรกับจีนก็จะถูกบริษัทอเมริกันห้ามไว้ เพราะจีนเป็นตลาดใหญ่ชุมชนธุรกิจอเมริกันจึงไม่อยากเสียจึงออกมาประกาศปกป้องจีนโดยเปิดเผย แต่ที่น่าสนใจคือในปี 2018 เมื่อ ประธานาธิบดี Donald Trump เริ่มสงครามทางการค้ากับจีนกลับไม่มีนักธุรกิจอเมริกันคนใดพูดคัดค้านเลย จึงเป็นสัญญาณว่าจีนห่างเหินจากชุมชนธุรกิจอเมริกันมากขนาดไหนจนไม่ออกมาปกป้องอีกต่อไป จีนพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้ชุมชนธุรกิจอเมริกันออกมาประกาศยับยั้งนโยบายของอเมริกาต่อจีนได้สำเร็จ

แต่อีกด้านในบางแง่สหรัฐฯ ก็ก่อความผิดพลาดที่ใหญ่กว่าเพราะได้เริ่มต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีนโดยไม่มียุทธศาสตร์ระยะยาว ผู้ฟังอาจคิดว่าตนบ้าที่พูดเช่นนี้เพราะสหรัฐฯ มีสถาบันวิจัยและนักคิดทางยุทธศาสตร์ชั้นยอดแล้วจะไม่มียุทธศาสตร์ได้อย่างไร แต่แหล่งข้อมูลของตนคือนักคิดเชิงยุทธศาสตร์ชั้นยอดที่สุดของอเมริกาชื่อ Henry Kissinger ที่ออกมายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นจริง

 

ใครจะเป็นผู้ชนะ

ต้องตระหนักว่าการขับเคี่ยวระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นการวิ่งมาราธอนไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น จึงไม่สำคัญว่าในปีนี้สหรัฐฯ อาจจะนำหน้าไปแล้วปีหน้าใครจะนำ แต่สิ่งสำคัญคืออีก 5 – 10 ปีข้างหน้าทั้งสองประเทศจะอยู่ที่ไหน และใครจะทำการลงทุนระยะยาวเพื่อรับประกันว่า เศรษฐกิจจะแข็งแกร่งในอีก 5 – 15 ปีข้างหน้า

ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างก็เป็นประเทศแข็งแกร่งมากและแข็งแกร่งคนละด้าน สหรัฐฯ ยังคงเป็นเศรษฐกิจอันดับ 1 ในโลก ในบางแง่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีพลังที่สุดในโลกเพราะสร้างบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกออกมาได้เรื่อย ๆ ตลอดหลายสิบปี แม้ในทางทฤษฎีสหรัฐฯ จะเล็กกว่าจีน ด้วยจำนวนประชากร 330 ล้านคนเทียบกับ 1,400 ล้านคน แต่ก็มีข้อได้เปรียบคือสามารถดึงคนฉลาดที่สุดจาก 8 พันล้านคนทั้งโลกมาทำงานในสหรัฐฯ ได้

แต่ความแข็งแกร่งของจีนก็เป็นตัวแทนอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดของโลกที่ยังสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน ข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของจีน คือการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและเข้ารวมกลุ่มกับประเทศอื่น ๆ ในโลกอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงข้ามสหรัฐฯ กลับลดการมีส่วนร่วมในโลกาภิวัตน์ ที่จริงคือจีนได้สมัครเข้าร่วม TPP ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้สร้างขึ้น แต่สหรัฐฯ กลับไม่ได้เข้าร่วม และถ้าจีนยังคงเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและรวมกลุ่มกับประเทศอื่น ๆ ในโลกต่อไปทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา จะทำให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกจะต้องพึ่งพาจีนมากขึ้นและพึ่งพาสหรัฐฯ น้อยลง ซึ่งในระยะยาวจีนอาจจะชนะได้ด้วยวิธีนี้ นี่คือยุทธศาสตร์ที่จีนทำอยู่

สหรัฐฯ มีอายุเพียง 250 ปีแต่จีนมีอายุถึง 4,000 ปี ส่วนผสมนี้จึงทำให้เกิดการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นและน่าจับตามองเนื่องจากมี 2 มหาอำนาจที่เป็นขั้วตรงข้ามกันและต่างก็แข็งแกร่งคนละแบบกันจึงน่าสนใจมาก บางครั้งสหรัฐฯ ก็ดูจะชนะแต่บางครั้งก็เป็นจีน ซึ่งน่าจะได้รู้ผลใน 10 – 20 ปีต่อจากนี้

 

ประเทศส่วนใหญ่ในโลกคิดอย่างไรกับการต่อสู้นี้

เมื่อเปรียบเทียบการต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในครั้งนี้กับสงครามเย็นในอดีตระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต ที่น่าสนใจคือในการต่อสู้ครั้งก่อนมีประเทศจำนวนมากที่รีบเข้ามาสนับสนุนสหรัฐฯ ยุโรปตะวันตกทั้งหมดกระตือรือร้นจะสนับสนุนสหรัฐฯ มากจนเกิด NATO ขึ้น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็เช่นกัน แม้แต่ประเทศโลกที่สามจำนวนมากก็สนับสนุน แต่ปัจจุบันไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวที่กระตือรือร้นจะสนับสนุนสหรัฐฯ บางประเทศอาจสนับสนุนอย่างเงียบ ๆ แต่ขณะเดียวกันประเทศส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบันค้าขายกับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ จึงไม่สามารถเลิกค้าขายได้ แม้ว่าญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ก็ยังค้าขายกับจีนมากกว่า แม้จะเข้าหาสหรัฐฯ มากกว่าแต่ก็ไม่อาจตัดสัมพันธ์กับจีนได้ เมื่อดูประเทศอาเซียนก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการมีสัมพันธ์อันดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีนจึงจะไม่เลือกข้าง ซึ่งแตกต่างกับยุคสงครามเย็นมาก

 

จะลดทอนความรุนแรงและผลกระทบจากการต่อสู้ของสองขั้วอำนาจนี้ได้อย่างไร

จะทำอะไรได้บ้างเพื่อทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบรุนแรงจนเกินไปนัก สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องทำ โดยเฉพาะอย่างในอาเซียน คือออกมาส่งสัญญาณกับทั้งสหรัฐฯ และจีน ว่าไม่ต้องการให้มาชักชวนหรือบังคับให้เลือกข้าง ถ้ามีประเทศออกมาพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องนี้ก็จะมีน้ำหนัก และเราก็ควรเตือนความจำทั้งสหรัฐฯ และจีนไปพร้อม ๆ กันว่านอกเหนือจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศต่าง ๆ บนโลกใบนี้กำลังเผชิญบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะแก้ไม่ได้เลยหากผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับ 1 และ 2 คือจีนและสหรัฐฯ ไม่ร่วมมือกัน

ถ้าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก็จะต้องออกมาพูดและบอกสหรัฐฯ กับจีนให้พักความขัดแย้งทางการค้าและมาสนใจแก้ไขเรื่องนี้ก่อน เพราะถ้าไม่ทำก็จะเหมือนกับย่อหน้าสุดท้ายในหนังสือ “Has China Won?” ของตน ซึ่งเขียนไว้ว่า ถ้าเราดูลิง 2 ฝูงต่อสู้กันขณะที่พื้นที่ป่ารอบ ๆ ไฟไหม้และไฟโหมกระหน่ำขึ้นเรื่อย ๆ เราก็ย่อมคิดว่าเหล่าลิงนั้นช่างโง่ ที่มัวแต่ตั้งหน้าต่อสู้กัน ทั้ง ๆ ที่กำลังจะตายกันทั้งหมด

bottom of page