
มองไทยหลังสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า 36%: โจทย์ใหญ่ที่ไทยต้องตอบให้ลึกกว่าเดิม
เมื่อสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา “36%” หลายภาคส่วนในไทยรู้สึกตื่นตัว แต่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลายประเด็นสำคัญ คุณเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย และอดีตผู้แทนการค้าไทย ได้อธิบายอย่างชัดเจนในการบรรยายพิเศษในหัวข้อ "มองไทยหลังสหรัฐเก็บภาษีนำเข้า 36%" ที่จัดโดยหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย (ICC Thailand) ร่วมกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม ที่ผ่านมา ว่า “36%” ที่ว่านี้คือ ภาษีที่ถูกเพิ่มจากฐานเดิม (Add-on) ไม่ใช่อัตราใหม่ทั้งหมด และแท้จริงแล้วผู้ที่จ่ายภาษีคือผู้นำเข้าสินค้าชาวอเมริกัน ไม่ใช่ผู้ส่งออกอย่างไทย
คุณเกียรติย้ำว่า การมองแค่ตัวเลขโดยไม่เข้าใจระบบภาษีเดิมหรือโครงสร้าง Supply chain ของโลก อาจทำให้ไทยวางกลยุทธ์ผิดพลาด ตัวอย่างเช่น การเปรียบเทียบกับเวียดนามที่ดูเหมือนจะได้เปรียบจากดีลภาษีกับสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริง รายการสินค้าหลักที่เวียดนามส่งออก เช่น เครื่องจักรและนิวเคลียร์รีแอคเตอร์ ไม่ได้ทับซ้อนกับสินค้าส่งออกหลักของไทย
อีกประเด็นสำคัญคือ การขึ้นภาษีนำเข้าไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับผู้ส่งออกเท่านั้น แต่ยังอาจย้อนกลับมากระทบเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้า เช่น สหรัฐฯ ที่ประชาชนต้องจ่ายสินค้าแพงขึ้น คุณเกียรติเสนอว่าไทยควรใช้จังหวะนี้ในการเจรจาเชิงรุก ทั้งในเวที WTO และการผลักดันข้อตกลง FTA กับประเทศใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มยูเรเซีย ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา เพื่อหาตลาดใหม่ให้กับผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบ
สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าการต่อรอง คือ การพัฒนา "ขีดความสามารถภายในประเทศ" ให้แข่งขันได้ในระยะยาว คุณเกียรติชี้ว่าประเทศไทยยังลงทุนด้าน R&D น้อยมาก เทียบกับประเทศชั้นนำอย่างสหรัฐฯ ที่ภาครัฐลงทุนกว่า 70% ของงบทั้งหมด การลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ การยกระดับการเจรจาระหว่างรัฐ และการปรับมาตรฐานตรวจสอบให้เป็นที่ยอมรับสากล ล้วนเป็นสิ่งที่ไทยสามารถเร่งทำได้ทันที
“อย่าหลงประเด็นด้วยตัวเลข และอย่าหวังแค่การต่อรอง แต่จงเสริมพลังจากภายใน”
เวทีนี้ไม่เพียงเปิดมุมมองใหม่ต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดสำคัญว่า การแข่งขันในศตวรรษนี้ไม่ใช่เรื่องของใครถูกใครผิด แต่คือใคร “พร้อม” กว่ากัน