
ถึงเวลาหรือยังที่ไทยต้องเร่งเครื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
ถึงเวลาหรือยังที่ไทยต้องเร่งเครื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไม่ใช่เพียงตัวเลขบนตารางจัดอันดับ แต่คือ “หัวใจ” ของการเติบโตอย่างยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของประชาชน ในรายงานจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันประจำปี 2568 ของ IMD World Competitiveness Center ประเทศไทยร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 30 จาก 69 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ลดลงถึง 5 อันดับ แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีแนวโน้มตกต่ำอย่างต่อเนื่อง เช่น ปัจจัยด้านการศึกษาอยู่ในอันดับที่ 55 ปัจจัยด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมอยู่ในอันดับที่ 58 ปัจจัยด้านผลิตภาพอันดับที่ 39 ในขณะที่ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ในอันดับที่ 37 และ 32 ตามลำดับ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความอ่อนแอภายในและสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ส่งผลให้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเกือบทุกประเทศในอาเซียนในระยะที่ผ่านมา รวมทั้งมีความอ่อนไหวเปราะบางต่อความผันผวนจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก หากวันนี้ เรายังไม่มีมาตรการเพื่อการพัฒนาปรับปรุงโดยเร่งด่วน ปัญหาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตจะทวีคูณเป็นวิกฤตที่เรื้อรังยากแก่การแก้ไขต่อไป
บทเรียนจากอดีต: จุดอ่อนที่ต้องแก้ให้ตรงจุด
ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน สะท้อนว่าหลายปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ประเทศขาดระบบการบริหารและกลไกขับเคลื่อนกลยุทธ์แผนงานที่มี focus และมีประสิทธิภาพ หน่วยงานด้านเศรษฐกิจกระจัดกระจาย (Fragmented) ขาดหน่วยงานกลางดูแลภาพรวมสื่อสารนโยบายและติดตามผลการปฏิบัติของแต่ละภาคส่วนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้ง ประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐ (Government Efficiency) ยังคงมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบแยกส่วน (Silo) กฎหมายที่ไม่ทันสมัย กระบวนการเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจซับซ้อนเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนที่ไม่ได้มาตรฐานตามที่ควรจะเป็น เห็นได้จากแนวโน้มการจัดอันดับความสามารถการแข่งขันที่เกือบจะไม่เปลี่ยนแปลงในประเด็นสำคัญดังกล่าวมาโดยตลอด
โฟกัสใหม่: เลือกสนามที่ไทยชนะได้
ประเทศไทยมีการจัดทำยุทธศาสตร์ แผนระดับต่าง ๆ และโครงการพัฒนามากมาย แต่ไม่เกิดผลลัพธ์ที่สามารถสร้าง Impact ได้อย่างเป็นรูปธรรม วันนี้ ประเทศไทยต้องจัดลำดับความสำคัญและมี Focus เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ไม่มุ่งแค่การแก้ปัญหาแต่เพียงระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องสร้างความเข้มแข็งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งการยกเครื่องโครงสร้างการขับเคลื่อน โดยต้องกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาให้ชัดเจน ว่าเราต้องการจะไปในทิศทางใด ด้วยเหตุผลใด จะทำอย่างไร และวัดผลด้วยอะไร และกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Focused Sectors) โดยพิจารณาประเด็นแวดล้อมดังต่อไปนี้
1) การใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ประเทศไทยมีจุดแข็ง (Capitalize on strengths)
2) สามารถขยายผล/ต่อยอด โดยใช้โอกาสจากแนวโน้มกระแสความต้องการของโลก (Leverage key strengths)
3) สามารถสร้างผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ (Economic and Social impacts)
เมื่อพิจารณาจากหลักเกณฑ์ทั้ง 3 ประการดังกล่าว อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญ ได้แก่
· ภาคการเกษตรและอาหาร (Agriculture & Food Sector): ด้วยทรัพยากรทางภูมิศาสตร์และธรรมชาติที่มีอยู่ (Natural Endowment) ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ เอื้อต่อการทำเกษตรกรรมเป็นอย่างมาก รวมทั้งชื่อเสียงของวัฒนธรรมทางด้านอาหารที่มีมาอย่างยาวนาน ไทยจึงควร พัฒนาต่อยอดจุดแข็งทั้งในเรื่องผลผลิตทางเกษตรและการเป็น Premium brand ของอาหารไทยในตลาดโลก เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ภาครัฐต้องมีแผนพัฒนาทักษะและประสิทธิภาพแรงงาน (Skilled Workforce & Labor Productivity) และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างจริงจังตลอดทั้งระบบ ตั้งแต่ Upstream ถึง Downstream เช่น พันธุ์พืช การปลูก การเก็บเกี่ยว (Sustainable Farming) ระบบ Supply Chain รวมทั้งการส่งเสริมเกษตรกร ให้พัฒนาการสร้างมูลค่าให้ของเหลือทิ้ง (Waste to Value) หรือการพัฒนาไบโอพลาสติก (Bio-plastic) และการทำเกษตรแบบฟื้นฟู (Regenerative Farming) และระบบจัดการน้ำ (Water Management) เพื่อสร้างความสมดุลและเพียงพอต่อความต้องการด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และการบริโภค
· การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness and Medical Tourism): ไทยมีศักยภาพสูงที่จะเป็นผู้นำด้าน Wellness Tourism ด้วยภูมิปัญญา ทรัพยากร และเทคโนโลยี ที่สามารถดึงดูดกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงที่ใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่เป็นข้อได้เปรียบ (Competitive Advantage) ของไทยอีกด้วย ภาครัฐจึงควรมีแผนสนับสนุน Wellness Economy ทั้ง Ecosystem เพื่อสร้างจุดแข็งที่แตกต่างให้ไทยในภูมิภาคอาเซียน เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ รัฐควรเร่งวางมาตรการเชิงรุกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมยกระดับทักษะแรงงานในภาคบริการสุขภาพและท่องเที่ยว เพราะธุรกิจท่องเที่ยวสามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจสู่ระดับชุมชน (Local Linkage) อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรายได้ กระจายโอกาส และเสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว
ปรับเกมรุกของประเทศ
1. ปรับปรุงกลยุทธ์ของภาครัฐในการพัฒนาศักยภาพของสินค้าและบริการ (Supply side) ของประเทศไทย ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก ภาครัฐต้องพัฒนาสินค้าและบริการตลอดทั้ง Value Chain เช่น การทำ Marketing and Branding, พัฒนาทักษะของ Workforce (Hard skill และ Soft Skill), ส่งเสริมให้นำระบบ Automation และ Technology มาปรับใช้ทั้ง Supply Chain
2. ปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารงานด้านเศรษฐกิจแบบแยกส่วน (Fragmented) รัฐบาลควรจัดตั้งทีมพัฒนาเศรษฐกิจกลาง PMO และกำหนด Head ที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และอำนาจในการขับเคลื่อนนโยบาย ตัดสินใจ และติดตามการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ (Cross-Ministry), ประสานงาน (Co-ordinate) ทุกภาคส่วน ให้เข้าใจเป้าหมาย (Common Goal) และแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศร่วมกัน
3. ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐ (Government efficiency) กำหนดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของชาติใน 2 วาระ
3.1 เพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ (ease of doing business) เช่น จัดตั้งศูนย์ข้อมูลและบริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจในการขยายกิจการและพัฒนานวัตกรรม สินค้าและบริการใหม่ ๆ โดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการทำงานและนำระบบ Digital มาใช้อย่างจริงจัง เช่น e-Government, การใช้ประโยชน์จาก Data, AI เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันการทุจริตและคอร์รัปชัน
3.2 ลดความเหลื่อมล้าด้าน “รายได้และโอกาสทางการศึกษา” มีนโยบายเชิงรุกในการกระจายรายได้และสร้างโอกาสในการประกอบธุรกิจ มีกลไกการลดการผูกขาด เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับ SME เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนี้ ต้องปฏิรูประบบการศึกษาที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เช่น ปรับปรุงหลักสูตร ตั้งแต่ชั้นปฐมวัย มัธยมต้น มัธยมปลาย อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรสาหรับเศรษฐกิจใหม่และเพิ่ม Labor Productivity โดยเน้นทักษะที่ประเทศต้องการ (Strategic Skills) เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และ Medical เป็นต้น
4. ปรับปรุง enabler
4.1 การพัฒนา Skilled Workforce เพื่อตอบสนองความจำเป็นของประเทศในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้ทุนการศึกษาทั้งโดยตรงและผ่านสถาบันต่าง ๆ จัดโปรแกรมรับนักศึกษาเข้าทำงานหรือฝึกงาน จัดหลักสูตรพัฒนาภายในองค์กร โครงการความร่วมมือกับภาครัฐและสถาบันการศึกษาจัดตั้งสถาบันการศึกษาแห่งชาติ หรือภาควิชาแบบครบวงจร เพื่อพัฒนาฝีมือและแรงงานในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ เช่น Agriculture, Food Science, Tourism, Wellness and Medical รวมทั้งการปรับปรุงนโยบายและกระบวนการในเรื่อง immigration ให้สามารถดึงดูดแรงงานที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ
4.2 ความร่วมมือในการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมหลัก และช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กให้เข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจ
5. มุ่งสร้าง collaboration ความร่วมมือภาคเอกชน-รัฐ-การศึกษา (Triple Helix) และความร่วมมือในภาคเอกชนด้วยกัน
ในการขับเคลื่อนเรื่องที่มีความสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านต่าง ๆ โดยอาศัยจุดแข็งของภาคธุรกิจในด้านการบริหารจัดการและภาคการศึกษาด้านองค์ความรู้ในการสนับสนุนการรวมกลุ่มสหกรณ์ขนาดเล็ก ให้มีความเข้มแข็ง สามารถช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริหารจัดการ การตลาดและช่องทางการจำหน่าย
ประเทศไทยยังมีความหวังและโอกาสในการพัฒนาเพื่ออนาคตของประเทศหรือไม่?
วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้านพร้อมกัน ประเทศไม่สามารถรอความหวังได้อีกต่อไป แต่ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ต้องเร่งแก้ไขปัญหา เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างความยั่งยืนในกับประเทศ ดังที่ Dr. Christian M. Ketels จาก Harvard Business School กล่าวว่า “ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คือ ความสามารถในการสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการเพิ่มผลิตภาพ ซึ่งนำไปสู่คุณภาพชีวิตและความมั่งคั่งของประชาชนในระยะยาว”
เมื่อพิจารณา competitive advantage และศักยภาพของไทย เรายังมีโอกาสที่จะยกระดับขีดความสามารถของประเทศได้ ดังเช่นหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกที่ต่างประสบปัญหาและเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่สามารถก้าวข้ามแนวทางเดิมและปรับ Business Model ของประเทศใหม่ เพื่อให้ตอบรับอนาคต อีกทั้งมีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำให้สามารถฝ่าวิกฤต สร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งถ้าเรามีทิศทางที่ชัดเจน ประเทศไทยก็ควรที่จะต้องทำได้เช่นกัน
TMA ในฐานะที่ทำงานร่วมกับ IMD World Competitiveness Center มาโดยตลอด มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานร่วมกับภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สนับสนุนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม (Make it Happen) ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ มิฉะนั้น ประเทศไทยอาจสูญเสียอนาคตไปอย่างถาวร



