
อนาคตดิจิทัลไทย กูรูแนะวางรากฐานสำคัญ 5 ด้าน ขยับขีดความสามารถในการแข่งขัน
ในโลกศตวรรษที่ 21 ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไม่ได้วัดจากทรัพยากรหรือแรงงานราคาถูก แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ขีดความสามารถในการแข่งขันของเราลดลงอย่างชัดเจนและต่อเนื่องในหลายด้าน อีกทั้งเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตเร็วเหมือนในอดีต อย่างไรก็ดี ก็ยังมีโอกาสใหม่จากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่จะช่วยขยับขึ้นสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chains)
ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการ IMD World Competitiveness Center ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ย้ำในเวทีบรรยายพิเศษหัวข้อ “Visioning the Digital Future” ในระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “Thailand Digital Future: Making It Happen” เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่จัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ว่า “ประเทศที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงต้อง “ผสานดิจิทัลในทุกภาคส่วน” และ “ต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในระยะยาว”
สำหรับประเทศไทย ศาสตราจารย์อาร์ทูโร มองว่ามีความก้าวหน้าอย่างชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องสู่การเป็น Digital Nation โดยในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลปี 2024 ไทยอยู่ในอันดับ 37 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก และมีโอกาสขยับขึ้นได้อีกในอนาคต

5 รากฐานสู่การเป็นประเทศดิจิทัล (Digital Nation)
การพัฒนาประเทศสู่การเป็น Digital Nation เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญ ดังนี้
1. Digital Infrastructure การมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้สำเร็จ ดังนั้นจึงต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรม และต้องมีตลาดทุนที่จะดึงดูดธุรกิจโทรคมนาคมเครือข่ายเข้ามา เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน ตลอดจนการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและการบริการดิจิทัล
2. Digital Identity หรือ Digital ID เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องได้รับการจัดการให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาบริการดิจิทัลอื่น ๆ อาทิ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการพัฒนาการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล
3. Digital Governance & Security สำหรับการกำกับดูแลและปกป้องข้อมูล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาและเปลี่ยนผ่านระดับบริการของประเทศสู่การเป็นระบบบริการดิจิทัล ตลอดจนเพื่อต่อยอดสู่ความเชื่อมั่นในบริการดิจิทัล
4. Digital Government ความสำเร็จของรัฐบาลดิจิทัล (E-Government) มักเกิดขึ้นจากการที่ประเทศนั้นได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบการระบุตัวตนทางดิจิทัล (Digital Identity), ระบบธรรมาภิบาล (Governance) และระบบความปลอดภัย (Security) โดยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเหล่านี้จะเป็นรากฐานสนับสนุนสู่ความสำเร็จในการเป็น Digital Government
5. Digital Payment การชำระเงินถือเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น “ประเทศดิจิทัล (Digital Nation)” สำหรับประเทศไทยมีการพัฒนาระบบการชำระเงิน Digital Payment อย่างก้าวกระโดด ดังนั้นจึงควรผลักดันให้มีปริมาณการใช้งานระบบชำระเงินดิจิทัลให้มากขึ้น ตลอดจนทำให้สามารถโอนเงินข้ามประเทศได้สะดวก โดยเฉพาะหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเชื่อมโยงปัจจัยสำคัญของการสร้าง Digital Nation เทียบเคียงกับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล (WDCR) ของ IMD เพื่อวิเคราะห์อันดับความก้าวหน้าในประเด็นต่าง ๆ ของประเทศไทยต่อ 5 ปัจจัย ดังนี้
Digital Infrastructure โดยมี Sub-Factor ที่เกี่ยวข้องได้แก่ Capital & Technological Framework ซึ่งไทยได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 13 และ 21 ตามลำดับ
Digital Identity โดยมี Sub-Factor ที่เกี่ยวข้องได้แก่ Adaptive Attitude & IT Integration ซึ่งไทยได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 36 และ 55 ตามลำดับ
Data Governance & Security โดยมี Sub-Factor ที่เกี่ยวข้องได้แก่ Technological Framework & IT Integration ซึ่งไทยได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 21 และ 55 ตามลำดับ
Digital Government โดยมี Sub-Factor ที่เกี่ยวข้องได้แก่ Adaptive Attitude[1] & IT Integration[2] ซึ่งไทยได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 36 และ 55 ตามลำดับ
Digital Payments – Cashless Society โดยมี Sub-Factor ที่เกี่ยวข้องได้แก่ Capital, Technological Framework, Adaptive Attitude, IT Integration ซึ่งไทยได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 13, 21, 36 และ 55 ตามลำดับ
จากการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (WDCR) ประจำปี 2024 ประเทศไทยอยู่ในอันดับปานกลางที่ 37 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก แต่มีจุดแข็งในด้านการพัฒนาสู่ Digital Nation ที่โดดเด่น 3 ประการ ดังนี้
1. การกำกับดูแลข้อมูลและความปลอดภัย ซึ่งประเทศไทยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้
2. Digital Identity (Digital ID) ประเทศไทยมีความก้าวหน้าที่ดีในหลายโครงการ ซึ่ง Digital ID เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการพัฒนาระบบอื่น ๆ ให้เป็นดิจิทัล
3. การชำระเงินดิจิทัล (Digital Payments) ประเทศไทยได้พัฒนาเรื่องนี้อย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น โดยพบว่ามีการใช้งานระบบชำระเงินดิจิทัลของประชากรไทยในปริมาณสูง
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส ยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนาต่อในประเด็นต่าง ๆ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น ๆ ประกอบด้วย

1. โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: ความครอบคลุมด้านโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชนบทยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพัฒนา โดยมีตัวอย่าง อาทิ สหรัฐอเมริกา WDCR 2024 อยู่ในอันดับที่ 4 และเกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 6
2. ระบบการชำระเงินที่เชื่อมโยงในภูมิภาค: สร้างระบบการชำระเงินที่เชื่อมโยงกันระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นเดียวกับ SEPA ของยุโรป ทั้งนี้ ประเทศที่มีระบบการชำระเงินที่เป็นแบบอย่างได้แก่ จีน WDCR 2024 อยู่ในอันดับที่ 14 และกลุ่มประเทศยุโรป
3. เพิ่มการลงทุนของภาคเอกชน: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย ส่วนใหญ่ยังคงมาจากภาครัฐ ดังนั้นควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชน เช่น การกำหนดเงื่อนไขเพื่อให้บริษัทเอกชนนำกำไรไปพัฒนาและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมากขึ้น ทั้งนี้ ตัวอย่างที่ได้รับการยอมรับได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้รับการจัดอันดับ WDCR 2024 อยู่ในอันดับที่ 2 และสิงคโปร์ WDCR 2024 อยู่ในอันดับที่ 1 ซึ่งภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุน ส่วนโมเดลการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership - PPP) จะปรากฏในประเทศแถบยุโรปเช่น ฝรั่งเศส (WDCR อันดับที่ 20) เดนมาร์ก (WDCR อันดับที่ 3) และออสเตรีย (WDCR อันดับที่ 25) ซึ่ง PPP เป็นโมเดลที่แนะนำเพราะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนจากการขับเคลื่อนให้เกิดกำไรและยกระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่อไป
ในระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการ ยังได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็น “Digital Nation” โดยตั้งเป้ายกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลไทยให้อยู่ 30 อันดับแรกของโลก และผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนถึง 30% ของ GDP ภายในปี 2570 ซึ่งผลการระดมสมองเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Nation ได้ยก 4 ประเด็นที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการเห็นความสำคัญเป็นอันดับต้น และได้หารือเกี่ยวกับปัญหาและระบุข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้

1) Building Digital Workforce & Talent
• สถานการณ์ปัจจุบัน : ประเทศไทยเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานดิจิทัลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โอกาสในการ Reskill มีจำกัดเนื่องจากต้นทุนสูงและผู้ทำงานจำนวนมากไม่พร้อมเรียนรู้ อีกทั้งยังพบปัญหาช่องว่างด้านประสบการณ์และความเข้าใจธุรกิจในแรงงานรุ่นใหม่
• ข้อเสนอแนะ : พัฒนาแรงงานดิจิทัล โดยเริ่มจากการจำแนกกลุ่มผู้ทำงานตามฟังก์ชันและระดับความเชี่ยวชาญ ปรับหลักสูตรตามการวิเคราะห์สาเหตุการขาดทักษะทั้ง Soft Skill และ Hard Skill และเชื่อมโยงการสรรหาและพัฒนาบุคลากรดิจิทัลผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย
2) Accelerating Digital Government
• สถานการณ์ปัจจุบัน : การขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลในประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เริ่มตั้งแต่การขาดนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมจากผู้นำระดับสูง ทำให้เกิดความลังเลในการเปิดเผยข้อมูลเนื่องจากความกังวลเรื่องกฎหมาย PDPA ซึ่งส่งผลให้เกิดการทำงานซ้ำซ้อนและขั้นตอนที่ยุ่งยาก โครงสร้างการทำงานภายในภาครัฐยังขาดการบูรณาการ
• ข้อเสนอแนะ : สร้างนโยบายและกลไกการขับเคลื่อนที่ชัดเจน มีการบูรณาการและการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ โดยสร้าง Single National Data Platform และกำหนด Framework กลาง เพื่อให้ภาครัฐทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นเอกภาพ และให้ข้อมูลเป็น Open by Default และมีมาตรการเพื่อส่งเสริมการลงทุนและเปิดรับบุคลากรดิจิทัลจากต่างประเทศ
3) AI-Adoption and Governance
• สถานการณ์ปัจจุบัน : ประเทศไทยอยู่ในฐานะผู้ใช้งาน AI เป็นหลัก แต่มีความต้องการที่จะยกระดับเป็นผู้ให้บริการและผู้พัฒนา
• ข้อเสนอแนะ : สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ของชาติ โดยเร่งจัดทำฐานข้อมูลพลเมืองในรูปแบบดิจิทัล และพัฒนา Large Language Model (LLM) หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของประเทศในรูปแบบ Open Source เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้ พัฒนาทักษะ AI (Upskill/Reskill) ให้กับคนไทยในวงกว้าง โดยรัฐบาลควรจัดทำหลักสูตรสำหรับคนไทยอายุ 18-60 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จัดตั้งหน่วยงานหลักที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการกำกับดูแลด้าน AI โดยเฉพาะ เช่น National AI Center (NAIC)
4) Digital Platform and E-Commerce
• สถานการณ์ปัจจุบัน : ตลาดแพลตฟอร์มดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซของไทย มีความท้าทายหลักมาจากการที่ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นต่างชาติรายใหญ่
• ข้อเสนอแนะ : สร้าง Market Place ของประเทศไทยที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public – Private Partnership) รัฐบาลควรมีบทบาทในฐานะผู้กำหนดนโยบาย (Policy Maker), กำกับดูแล (Regulator) และ Facilitator ไม่ใช่ในฐานะ Operator โดยช่วยหาผู้ร่วมลงทุน รัฐบาลเก็บรายได้ในรูปแบบภาษี เพราะเป็นธุรกิจที่ต้องติดตามสถานการณ์และปรับตัวอย่างรวดเร็ว และกำหนดให้มีหน่วยงานของรัฐเป็นเจ้าภาพ
แน่นอนว่า การบรรลุสู่เป้าหมายดังกล่าว ประเทศไทยยังมีภารกิจที่ต้องพัฒนาอีกหลายด้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสังคม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนและสามารถบรรลุเป้าหมายการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนต่อ GDP เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลก



